ดีเกฮูลู ในสมัยก่อนเจ้าเมืองรามัน เจ้าเมืองปัตตานี เรียกว่า 7 หัวเมือง
ใช้ดีเกฮูลูสำหรับทำพิธีในงานใหญ่ ๆ ส่วนในปัจจุบันใช้ในงานต่าง ๆ
คนไทยนิยมเรียก ลิเกฮูลู
หรือจะเรียกว่าลำตัดมลายูก็ได้ เพราะเป็นต้นกำเนินของลำตัดไทย
เป็นการแสดงประเภทศิลปะการร้องประกอบดนตรีของคนพื้นเมืองในแถบชายแดนภาคใต้ คือ
ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ตลอดจนในเขตประเทศมาเลเซียตอนเหนือ เช่น กลันตัน ไทรบุรี
ปาหัง ตรังกานู นิยมกันแพร่หลาย กล่าวโดยทั่วไปการแสดงลิเกฮูลู คล้ายกับ “ลำตัด”
ทางภาคกลางของไทย
รากกำเนิดได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาอิสลาม คือ
พวกพ่อค้าชาวเปอร์เซียนอกจากเดินทางเรือเข้ามาค้าขายแล้ว
ยังนำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ด้วย ทำให้ดินแดนหมู่เกาะทะเลใต้และปลายแหลมมลายู
หรืออินโดนีเซีย มาเลเซีย ปัจจุบันเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งในพิธีทางศาสนาอิสลามมีบทสวด
สรรเสริญพระเจ้า ตามปกติเป็นบทขับร้องสำคัญที่ขับร้องกันในวันสำคัญทางศาสนา
ในสมัยพระยาเมืองปกครอง ๗ หัวเมืองมลายู เช่น งานเมาลิดหรือวันกำเนิดพระนาบี
บทสวดนี้ชาวเปอร์เซียเรียกว่า “ดีเกร์เมาลิด” (มาจากคำซีเกร์
Zikir ในภาษาอาหรับ)
เป็นการขับร้องที่มีเสียงไพเราะน่าฟังมากเรียกกันว่า “ละไป”
หรือ “ซีเกร์มัรฮาบา” เป็นการร้องเพลงประกอบการตีกลองรำมะนา
ชาวมลายูพื้นเมืองเห็นบทสวดนี้ฟังสนุกแต่ไม่เข้าใจ
จึงเอาทำนองมาดัดแปลงพร้อมแต่งเนื้อคำร้องเป็นภาษาพื้นเมืองขึ้นร้องเล่น ก่อน
ต่อมาเมื่อมีผู้เห็นว่ามันสนุกฟังไพเราะและคนทั่วไปฟังเข้าใจ
จึงพัฒนานำมาขับร้องในที่สาธารณะอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีการแยกเป็น ๒ ฝ่าย
พร้อมแต่งกายให้สวยงามและร้องโต้ตอบแก้กันไปมา ใช้คารมเสียดสีปฏิภาณ ไหวพริบโต้กัน
หรือพูดเรื่องตลกโปกฮาหรือประยุกต์ให้เข้าเรื่องกับงานแสดงในโอกาสต่างๆ
มีเครื่องดนตรีตีประโคมในที่สุดจึงได้กลายมาเป็น
“ดีเกฮูลู ”
คำว่า”ฮูลู” แปลว่า ทางเหนือน้ำ (ฝ่ายใต้น้ำเรียก
ฮิเล) คือ ท้องที่เหนือน้ำ (ต้นน้ำ) ในที่นี้หมายถึง ต้นกำเนิดของแม่น้ำปัตตานี
คือ แถบอำเภอเบตง อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และอำเภอมายอ จังหวดปัตตานี
อันเป็นการบอกให้รู้ว่าแหล่งกำเนิดของลิเกฮูลูพื้นบ้านมาจากท้องที่ดังกล่าว
นั่นเอง ซึ่งทางรัฐกะลันตันเรียก “ดีเกบารัต” (ลิเกตะวันตก)
อันเป็นการยุติต้องกันว่า ดีเกฮูลูมีกำเนิดจากชนบทคนพื้นเมืองในย่านนี้อย่างแท้จริง
การแต่งกาย พวกคณะลิเกฮูลูโดยมากเป็นผู้ชาย คณะที่เป็นผู้หญิงไม่นิยม
การแต่งกายเดิมใช้เครื่องแต่งกายพื้นเมืองธรรมดา ต่อมามีการประกวดประชันกัน
แต่ละคณะจึงคิดขุดเครื่องแบบขึ้นเอง เช่น ลูกคู่แต่งชุดขาว คาดผ้าลิลินัง ใส่หมวกหนีบ
ลางคณะแต่งใส่เสื้อยืดเป็นทีมพ่นชื่อคณะติดหน้าอก ศีรษะโพกผ้าก็มี
ส่วนคนขับร้องกลอนแต่ละฝ่ายใช้ 1-2คน แต่งกายงามเป็นพิเศษ คือ แต่งชุดสลีแน
เครื่องดนตรี มี กลองรำมะนา 2-4 ใบ และฆ้อง 1 วง เป็นหลัก
นอกนั้นอาจมีกลองรำมะนาเล็ก และมีลูกแซ็ก (1-2คู่) เขย่าประกอบจังหวะ บางคณะอาจเพิ่มขลุ่ยและเครื่องดนตรีสมัยใหม่อย่างอื่นเข้าไปด้วย
เพื่อให้มีบรรยากาศแปลกใหม่และต่างจากฝ่ายตรงข้าม เดิมลูกคู่มี 7-10 คน
ใช้วิธีปรบมือ ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นใช้แผ่นโลหะตีแทน เพื่อให้เสียงดังหนักแน่น
ลักษณะการแสดง ลิเก ฮูลูคณะหนึ่งมีลูกคู่ราว 10 คน ผู้พากษ์ขับร้อง 1-2 คน
เวลาเล่นลูกคู่และผู้ร้องขับกลอนจะหันหน้าไปทางผู้ชม
ถ้าเป็นการประชันวงจะนั่งเรียงแถวแบ่งเวทีคนละครึ่ง
และนั่งหันหน้าไปทางผู้ชมหน้าเวที พวกนักดนตรีจะนั่งอยู่แถวหลังลูกคู่อยู่หน้า
การแสดงจะผลัดกันลุกยืนร้องกลอนโต้ตอบกันคนละรอบ ผลัดกันรุก-รับร้องแก้ด้วยคารมเสียดสีกันเป็นที่สนุกสนานสบ
อารมณ์ผู้ชม เวลาร้องกลอนดนตรีจะหยุด ทำนองเดียวกับการเล่นลำตัด
จังหวะดนตรีมีทั้งช้าและเร็ว คือ ปกติมี ๓ จังหวะ คือ สโลว์ แมมโบร์สโลว์
และจังหวะนาฏศิลป์อินเดีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น