วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประเพณีการเดินเต่า
 

ช่วงเวลา
เวลาที่เต่าทะเลหลายชนิดขึ้นมาวางไข่บนหาด เมื่อถึงฤดูวางไข่คือประมาณ เดือน ๑๑ แรม ๑ ค่ำ ราวปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงเดือน ๔ ราว ๆ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนก่อนหรือหลังเวลาที่ว่ามานี้มีบ้างเล็กน้อย 
ความสำคัญ
ประเพณีการเดินเต่า คือการเดินหาเต่าทะเลที่ขึ้นมาวางไข่บนหาดทราย ซึ่งแหล่งที่มีการเดินเต่าทางภาคใต้นั้นมีหลายแหล่ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่คือบริเวณชายฝั่ง แถวฝั่งทะเลด้านตะวันตก หรือชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้แก่ ทางตะวันตกของจังหวัดพังงา ซึ่งเป็นหาดทรายที่มีความยาวโดยตลอดร่วม ๑๐๐ กิโลเมตร ซึ่งในบริเวณชายฝั่งทะเลนั้น จะมีเต่าทะเลหลายชนิดขึ้นมาวางไข่บนหาดทราย เมื่อถึงฤดูวางไข่ ชนิดของเต่าทะเลที่ขึ้นมาวางไข่ตามชายฝั่งตะวันตกนี้มีหลายชนิด ซึ่งชาวบ้านเรียกกันหลายชื่อได้แก่ เต่ากระ เต่าเฟือง เต่าเล็ก เต่าหางยาว เป็นต้น
ในแต่ละปีเต่าทะเลแต่ละชนิดจะขึ้นมาวางไข่ ๔ ครั้ง การวางไข่ของเต่าทะเลนั้นมีนิสัยที่แปลกประหลาดและน่าสนใจกว่าสัตว์อื่น ๆ ตรงที่จะขึ้นมาวางไข่ประจำที่หรือประจำหาด ทั้ง ๆ ที่ทะเลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เป็นต้นว่าเต่าทะเลตัวใด ที่ขึ้นมาวางไข่ที่หาดไหนคราวต่อไปก็ขึ้นมาวางไข่ตรงที่หาดนั้นทุกครั้งไป เป็นประจำทุกปี อาจยกเว้นว่าบางครั้งมันอาจขึ้นมาพบคนรบกวนก็อาจต้องเปลี่ยนไปที่หาดอื่น บริเวณใกล้ ๆ กัน
เนื่องจากลักษณะของเต่าทะเลพิศดารอย่างนี้ ชาวบ้านในสมัยก่อนจึงสามารถเก็บไข่เต่าได้ โดยอาศัยความทรงจำของเต่าให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าเต่าทะเลแต่ละตัวหากขึ้นวางไข่ที่ใดแล้ว หลังจากนั้นไปเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ หรือ ๒ สัปดาห์ เต่าตัวเดิมนี้ จะขึ้นมาวางไข่อีกที่หาดเดิม แต่ตำแหน่งที่คลานขึ้นมาวางไข่จะห่างจากที่เคยขึ้นวางไข่ครั้งก่อนราว ๑๐-๒๐ เมตร อาจเป็นเพราะว่ามันกลัวจะไปขุดถูกหลุมไข่ที่เคยวางไว้แล้ว ก็เป็นได้ ส่วนเวลาไหนนั้นชาวบ้านจะต้องคำนวณโดยการนับน้ำว่าวันที่ครบกำหนดวางไข่นั้น เป็นวันข้างขึ้นหรือแรมกี่ค่ำ ก็พอรู้ได้ว่าเวลาเท่าไรที่น้ำขึ้นครึ่งฝั่งน้ำลงครึ่งฝั่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เต่าขึ้นวางไข่ จากนั้นก็สามารถเอาตะกร้าไปรอรับไข่เต่าได้ถูกต้องโดยไม่ต้องเดินไปเดินมา และไม่ต้องเสียเวลาหาหลุมไข่เต่าในตอนหลัง เช่นครั้งที่ ๑ ขึ้นมาวางไข่ในแรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ครั้งต่อไปก็จะขึ้นวางอีกในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (หลังจากครั้งก่อน ๗ วัน) หรืออาจไม่ขึ้นมาวางไข่ในวันดังกล่าวนี้ ก็จะขึ้นมาวางไข่ในวันขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๑๒ (หลังจากครั้งก่อน ๑๔ วัน) จากปากคำของชาวบ้านที่เคยได้สัมปทานไข่เต่าหรือเรียกกันในภาษาเดิมว่า "ผูกเต่า" บอกว่าใช้วิธีนี้ทำให้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยเลย อาจจนอนอยู่ที่บ้านแล้วพอถึงเวลาที่คำนวณไว้ก็ค่อยเดินไปนั่งรอที่จุดนั้น ๆได้ และมักจะถูกต้องเสมอทุกคราวไป
แต่ในปัจจุบันนี้ ประเพณีการเดินเต่าไม่มีแล้ว เพราะว่าประชาชนในท้องถิ่นได้ร่วมมือกันอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำชายฝั่งทะเล อันดามัน ได้แก่ เต่าทะเล เป็นต้น ถ้าบุคคลใดฝ่าฝืนใน ถือเป็นการทำผิดกฎหมายถูกดำเนินคดีทางกฎหมายได้ 
พิธีกรรม 
ประเพณีการเดินเต่าจะทำกันในตอนกลางคืน ซึ่งเริ่มตั้งแต่พลบค่ำจนสว่าง สำหรับคนรุ่นใหม่ ๆ นั้นหากไม่ค่อยมีความรู้ ก็อาจเดินหาตามความยาวของหาดทราย ระยะทางหลายกิโลเมตร โดยไม่เจอไข่เต่า แม้แต่หลุมเดียว (หลุมรัง) ก็เป็นได้ แต่สำหรับคนรุ่นก่อน ๆ นั้นมีเคล็ดในการหาไข่เต่าหลายอย่าง อย่างแรก คือเวลาที่เต่าจะขึ้นมาวางไข่ เต่าจะขึ้นมาวางไข่เมื่อไหร่นั้นให้ดูได้คือ
๑. ให้ดูดาวเต่า ดาวเต่านี้จะประกอบด้วยดาวหลายดวงซึ่งคนที่ชำนาญจะมองเห็นเป็นรูปเต่า ตำแหน่งที่ดาวเต่าเริ่มหันหัวลงทางทิศตะวันตก คือดาวเต่าเริ่มคล้อยลง (คล้าย ๆ กับดวงอาทิตย์ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไป) เมื่อดาวเต่าหันหัวลงทะเลก็เป็นเวลาที่เดินเต่าได้ คนโบราณเชื่อว่าเต่าจะขึ้นมาวางไข่เวลานี้
๒. ให้ดูน้ำ หมายถึงน้ำทะเลขึ้นลงนั่นเอง หากว่าน้ำขึ้นครึ่งฝั่ง หรือน้ำลงครึ่งฝั่ง ก็เป็นเวลาที่เต่าทะเลจะขึ้นมาวางไข่ ไม่ปรากฏว่าเต่าทะเลขึ้นมาขณะน้ำลดน้ำขึ้นมา
ดังนั้น เต่าทะเลก็มีกำหนดเวลาขึ้นวางไข่ในเวลาที่ไม่ซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นวันข้างขึ้นหรือข้างแรม กี่ค่ำที่ทำให้น้ำขึ้นลงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ 
สาระ 
ประเพณีการเดินเต่า ชาวบ้านในท้องถิ่นพบเต่าทะเลที่กำลังขึ้นมาวางไข่ก็รู้ได้จากรอยคลานของเต่า ที่ปรากฏ อยู่บนหาดทราย ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดเจน เพราะมันจะใช้ทั้ง ๒ คู่สับลงบนพื้นทรายแล้วลากตัวขึ้นมา จึงปรากฏรอยในลักษณะที่คล้ายรอยของรถแทรกเตอร์ขนาดเล็ก โดยปรากฏเป็นทาง ๒ ทาง คือทางขึ้น ๑ ทาง ทางลงอีก ๑ ทาง จากรอยนี้ก็บอกได้ว่าต้องมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ แต่การหาหลุมที่เต่าวางไข่นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะว่าหาดทรายกว้าง ชาวบ้านในสมัยก่อนที่มีความรู้ มีวิธีสังเกตเพื่อหาหลุมไข่เต่าหลายวิธี ได้แก่
๑. ดูปลายทราย หมายถึงให้สังเกตทรายที่เต่าขุดขึ้นมาแล้วสาดไปโดยรอบลำตัวขณะที่ขุดหลุมวาง ไข่ จะปรากฏให้เห็นเป็นแนวโดยรอบ ๆ หลุมในระยะพอสมควร ซึ่งพอสันนิษฐานได้ว่าบริเวณที่อยู่จากถัดจากปลายทรายเข้าไปนั้น ต้องเป็นหลุมไข่เต่า แต่บางครั้งก็ไม่แน่นอนเพราะเต่ามักมีการพรางหรือหลอกโดยการสาดทราย หลาย ๆ จุด แต่ไม่ได้วางไข่จริง ๆ จะดูว่าเต่ามันหลอกเราหรือไม่นั้นก็ดูทรายที่สาด หากเป็นทรายเปียกหรือจับเป็นก้อนเล็ก ๆ แสดงว่าเป็นบริเวณหลุมที่วางไข่จริง เพราะเป็นทรายที่ขุดจากทรายชั้นล่าง หรือจากก้นหลุม
๒. ใช้ไม้ปลายแหลมแทงหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "สัก" ลงไปตามพื้นทรายให้ลึกประมาณ ๒ ฟุต แล้วสังเกตว่า ไม้ที่แทงนั้นผิดปกติหรือไม่ หากผิดปกติ เช่น แทงลงโดยง่าย ทันทีอาจแทงบนหลุมเต่าก็ได้ อาจทดสอบได้ด้วยการดมปลายไม้ดู หากแทงถูกหลุมวางไข่จะมีกลิ่นคาวของไข่เต่าติดปลายไม้ขึ้นมา
๓. ถ้าเป็นเวลากลางวันให้ดูแมลงวันว่าไปตอมบริเวณใด เพราะแมงวันจะไปตอมบริเวณที่วางไข่ ซึ่งมีคาวเมือกขณะที่เต่าทะเลวางไข่ตกอยู่
หากทั้ง ๓ วิธีไม่สามารถหาหลุมวางไข่ ชาวบ้านสมัยก่อนใช้วิธีสุดท้าย คือสังเกตพื้นทรายบริเวณที่มีรอยของเต่าในเวลาประมาณ ๐๗.๐๐-๐๘.๐๐ นาฬิกา จะพบว่าบริเวณที่เป็นหลุมไข่เต่าจะมีลักษณะเป็นไอหรือควันขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเมื่อไข่มีอุณหภูมิสูง เมื่อมาถูกกับความเย็นของทรายชั้นล่างก็เกิดการคายความร้อน และเกิดไอขึ้นเหนือทรายได้
ไข่เต่าในแต่ละหลุมหรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า "รัง" จะมีจำนวนแตกต่างกันตามชนิดของเต่า และลำดับครั้งที่วางไข่ เช่น เต่ากระ ครั้งแรกอาจไข่รังละ ๘๐ ฟอง ครั้งต่อไป ก็อาจถึง ๑๒๐ ฟอง แล้วลดลงมาจนครั้งสุดท้ายอาจมีราว ๓-๔ ฟอง นอกนั้นเป็นไข่ที่ไม่มีไข่แดง ซึ่งเรียกว่า "ไข่ลม" เต่าเล็กจะไข่ครั้งแรกประมาณ ๑๐๐ ฟอง ครั้งต่อไปราว ๑๕๐ ฟอง ครั้งสุดท้ายก็ลดลงเหลือไม่กี่ฟอง เต่ามะเฟืองราว ๑๒๕ ฟอง ส่วนเต่าหางยาวมีจำนวนมากที่สุดราว ๑๕๐ ฟอง

สารทเดือนสิบ

ประเพณีสารทเดือนสิบ
      สารทเดือนสิบ หรือที่ชาวนครศรีธรรมราชเรียกกันว่าประเพณีทำบุญเดือนสิบ เป็นประเพณีทำบุญกลางเดือน
สิบ เป็นประเพณีทำบุญกลางเดือนสิบเพื่อเพื่อนำเครื่องอุปโภคและเครื่องบริโภคทั้งขนมสำคัญห้าอย่างไปถวาย
พระ แล้วอุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษของตน ชาวเมืองนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ไกลเพียงใด เมื่อถึงช่วงทำบุญเดือนสิบ ก็จะกลับภูมิลำเนามาร่วมทำบุญ ด้วยความสำนึกกตัญญูที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจมาแต่เยาว์วัย
ประวัติความเป็นมา
     ประเพณีสารทเดือนสิบวิวัฒนาการมาจากประเพณีเปตพลีของพราหมณ์ ซึ่งลูกหลานจัดขึ้นเพื่อทำบุญอุทิศ
ส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อมาพวกพราหมณ์จำนวนมากได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและยังถือปฏิบัติ
ในประเพณีดังกล่าวอยู่ พระพุทธองค์เห็นว่าประเพณีนี้มีคุณค่า เป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อ
บรรพบุรุษ นำความสุขใจให้ผู้ปฏิบัติ จึงทรงอนุญาตให้อุบาสกอุบาสิกาประกอบพิธีนี้ต่อไปได้ ประเพณีสารท
เดือนสิบมีมาตั้งแต่พุทธกาล คาดว่าพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาในนครศรีธรรมราช จึงรับประเพณีนี้มาด้วย
ความเชื่อ
     ความเชื่อของพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราชเชื่อว่าบรรพบุรุษอันไดแก่ ปู่ย่าตายาย และญาติพี่น้องที่
ล่วงลับไปแล้ว หากทำความดีไว้เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไปเกิดในสรวงสรรค์ แต่หากทำความชั่วจะตกนรก
กลายเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้ในแต่ละปีมายังชีพ
ดังนั้นในวันแรม ๑ ค่ำเดือนสิบ คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์ เพื่อมาขอ
ส่วนบุญจากลูกหลายญาติพี่น้องและจะกลับไปนรกในวันแรม ๑ ค่ำ เดืออนสิบ
     โอกาสนี้เองลูกหลานและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงนำอาหารไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไป
แล้ว เป็นการแสดงกตัญญูกตเวที
ระยะเวลา
     ระยะเวลาของการประกอบพิธีประเพณีสารทเดือนสิบมีขึ้นในวันแรม ๑ ค่ำ เดือนสิบ แต่วันที่ชาวนครนิยม
ทำบุญคือวันแรม ๑๓-๑๕ ค่ำ


 พิธีกรรม
     การปฏิบัติพิธีกรรมการทำบุญสารทเดือนสอบมีสามขั้นตอน คือ
๑) การจัดหมฺรับและยกหมฺรับ
๒) การฉลองหมฺรับและการบังสกุล
๓) การตั้งเปรตและการชิงเปรต
๑) การจัดหมฺรับและยกหมฺรับ
     การจัดเตรียมสิ่งของที่ใช้จัดหมฺรับ เริ่มขึ้นในวันแรม ๑๓ ค่ำ วันนี้เรียกกันว่า "วันจ่าย" ตลาดต่างๆ จึงคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนชาวบ้านจะซื้ออาหารแห้ง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน
ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และขนมที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบ จัเตรียมไว้สำหรับใส่หมฺรับ
และสำหรับนำไปมอบให้ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือ
  ๑.๑ การจัดหมัรบ
         การหมฺรับมักจะจัดเฉพาะครอบครัวหรือจัดรวมกันในหมู่ญาติ และจัดเป็นกลุ่ม ภาชนะที่ใช้จัดหมฺรับใช้
กระบุง หรือ เข่งสานด้วยด้วยตอกไม้ไผ่ ขนาดเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของเจ้าของหมฺรับ ปัจจุบัน
ใช้ภาชนะที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ
         การจัดหมฺรับ คือการบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหาร ขนมเดือนสิบ ฯลฯ ลงภายในภาชนะที่เตรียมไว้
สำหรับงานนี้โดยเฉพา โดยจัดเป็นชั้นๆ ดังนี้
             ๑) ชั้นล่างสุด จัดบรรจุสิ่งของประเภทอาหารแห้ง ลงไว้ที่ก้นภาชนะ ได้แก่ ข้าวสาร แล้วใส่พริก เกลือ หอม กระเทียม กะปิ น้ำปลา น้ำตาล มะขามเปียก รวมทั้งบรรดาปลาเค็ม เนื้อเค็ม หมูเค็ม กุ้งแห้ง เครื่องปรุง
อาหารที่จำเป็น
             ๒) ขั้นที่สอง จัดบรรจุอาหารประเภทพืชผักที่เก็บไว้ได้นาน ใส่ขึ้นมาจากชั้นแรก ได้แก่ มะพร้าว ขี้พร้า
หัวมันทุกชนิด กล้วยแก่ ข้าวโพด อ้อย ตะไคร้ ลูกเนียง สะตอ รวมทั้งพืชผักอื่นที่มีในเวลานั้น
             ๓) ขั้นที่สาม จัดบรรจุสิ่งของประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ น้ำมันพืช น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันก๊าด ไต้ ไม้ขีดไฟ หม้อ กระทะ ถ้วยชาม เข็ม ด้าย หมาก พลู กานพลู การบูน พิมเสน สีเสียด ปูน ยาเส้น บุหรี่ ยาสามัญประจำบ้าน ธูป เทียน
            ๔) ขั้นบนสุด ใช้บรรจุและประดับประดาด้วยขนมอันเป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบ เป็นสิ่งสำคัญของหมฺรับ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง (ขนมไข่ปลา) ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมบรรพบุรุษ


ขนมลา เปรียบเสมือนเสื้อผ้าแพรพรรณที่บรรพบุรุษจะได้ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม

ขนมกง (หรือขนมไข่ปลา)เปรียบเสมือนเครื่องประดับให้บรรพบุรุษได้ใช้ ประดับร่างกาย 

ขนมพอง เปรียบเสมือนแพอันเป็นพาหนะให้บรรพบุรุษใช้ข้ามห้วงมหรรณพ

ขนมบ้า เปรียบเสมือนเมล็ดสะบ้า สำหรับให้บรรพบุรุษไว้เล่นสะบ้าในวันตรุษสงกรานต์


ขนมดีซำ เปรียบเสมือนเงินตราเพื่อให้บรรพบุรุษได้มีไว้ใช้สอย


๑.๓) การยกหมฺรับ
                วันแรม ๑๔ ค่ำ ชาวบ้านจะจำหมฺรับที่จัดเตรียมไว้ ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัด โดยเลือวัดที่อยู่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยม วันนี้เรียกว่า " วันยกหมฺรับ" การยกหมฺรับไปวัดเป็น
ขบวนแห่หรือไม่มีขบวนแห่ก็ได้ โดยนำหมฺรับและภัตตาหารไปถวายพระด้วย

๒) การฉลองหมฺรับและการบังสุกุล
      วันแรม ๑๕ ค่ำ ซึ่งเป็นวันสารทเรียกว่า "วันหลองหมฺรับ" มีการทำบุญเลี้ยงพระและบังสกุลการทำบุญวันนี้
เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปยังเมืองนรก นับเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าหากไม่ได้
กระทำพิธีกรรมในวันนี้บรรพบุรุษพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วจะไม่ได้รับส่วนกุศล ทำให้เกิดทุขเวทนาด้วยความ
อดอยาก ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูไป
๓) การตั้งเปรตและการชิงเปรต
        เสร็จจากการฉลองหมฺรับและถวายภัตตาหารแล้วก็นิยมนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามบริเวณวัด โคนไม้ใหญ่ หรือกำแพงวัด เรียกว่า " ตั้งเปรต" เป็นการแผ่ส่วนกุศลให้เป็นสาธารณะทานแก่ผู้ล่วงลับที่ไม่มี
ญาติหรือญาติได้มาร่วมทำบุญได้
        บางวัดนิยมสร้างร้านขึ้นเพื่อสะดวกแก่ตั้งเปรต เรียกว่า " หลาเปรต" (ศาลาเปรต) เมื่องตั้งขนม ผลไม้ และ
และเงินทำบุญเสร็จแล้วก็จะนำสายสิญจน์ที่ได้บังสุกุลแล้วมาผูกเพื่อแผ่ส่วนกุศลด้วย เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ก็จะเก็บ
สายสิญจน์
      การชิงเปรตจะเริ่มหลังจากตั้งเปรตเสร็จแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรียกว่า "ชิงเปตร" ทั้งผู้ใหญ่และเด็กจะวิ่งกัน
เข้าไปแย่งขนมกันอย่างคึกคัก เพราะความเชื่อว่าของที่เหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ถ้าใครได้ไปกินก็จะ
ได้กุศลแรง เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
      วัดบางแห่งสร้างหลาเปรตไว้สูง โดยมีเสาเพียงเสาเดียว เสานี้เกลาจนลื่นและชะโลมด้วยน้ำมัน เมื่อถึง
เวลาชิงเปรต เด็กๆ แย่งกันปีนขึ้นไป หลายคนตกลงมาเพราะเสาลื่น และอาจถูกคนอื่นดึงขาพลัดตกลงมา
กว่าจะมีผู้ชนะการปีนไปถึงหลาเปรต ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงมีทั้งความสนุกสนาน และความ
และความตื่นเต้น
แก่นแท้หรือสาระสำคัญ
       ประเพณีสารทเดือนสิบมีสาระสำคัญหลายประการคือ
       ๑) เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ โดยรำลึกถึงคุณความดีของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว  ที่ได้เลี้ยงดูลูกหลานและให้การศึกษาอบรมเป็นอย่างดี เพื่อตอบแทนบุญคุณดังกล่าวลูกหลานจึงทำบุญ
อุทิศส่วนกุศลไปให้
      ๒) เป็นโอกาสได้รวมญาติที่อยู่ห่างไหล ได้มาพบปะซักถามสารทุกข์สุกดิบต่อกัน และได้มีโอกาสทำบุญ
ร่วมกัน เป็นการสร้างความสนิทสนมกลมเกลียวในหมู่ญาติ สร้างความสบายใจที่ได้ทำบุญ
     ๓) เป็นการเก็บพืชผลของตนไปทำบุญถวายพระ เพราะชาวนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่มีอาชีพทาง
ทางการเกษตร ในช่วงปลายเดือนสิบเป็นระยะที่พืชพันธุ์ต่างๆ กำลังออกผล จึงได้เก็บพืชผลไปทำบุญอันเป็น
สิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
      ๔) เป็นการเก็บเสบียงอาหาร มีทั้งพืชผัก อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป จัดนำไปถวายในรูปหมฺรับหรือสำรับ เพือที่ทางวัดจะได้เก็บรักษาไว้เป็นเสียงสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในฤดูฝน ทั้งนี้เพราะในภาคใต้ฤดูฝนจะเริ่มขึ้นใน
ปลายเดือนสิบ ซึ่งพระภิกษุสงฆ์จะบิณฑบาตด้วยความยากลำบาก
      ๕) เป็นการจัดงานรื่นเริงสนุนสนานประจำปี งานรื่นเริงจัดขึ้นเพราะความภาคภูมิใจ ความสุขใจ ความอิ่มใจ ที่ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ ญาติมิตรที่ล่วงลับไป และเป็นการทำบุญในโอกาสที่ได้รับผลผลิต
ทางการเกษตรและชื่นชมในผลผลิตที่ได้รับได้ร่วมกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลองร่วมกัน งานเพื่อเฉลิม
ฉลองประเพณีสารทเดือนสิบของชาวนครศรีธรรมราช ซึ่งนับเป็นงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่งานหนึ่งของภาคใต้
และประเทศไทย




ประเพณีแห่นก

ประเพณีแห่นก
ประวัติ / ความเป็นมา
          ประเพณีแห่นก เป็นประเพณีพื้นเมืองเก่าแก่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เป็นงานใหญ่ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามโอกาส อาจจัดขึ้นเพื่อความรื่นเริง จัดในงานเฉลิมฉลองตามเทศกาล หรือเพื่อต้อนรับอาคันตุกะสำคัญ ไม่ใช่ประเพณีเนื่องในศาสนา หรือประเพณีตามนักขัตฤกษ์แต่อย่างใดa

สันนิษฐานว่า ประเพณีแห่นกของชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ คงรับมาจากประเทศอินโดเซีย ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะแพร่หลายเข้ามายังภูมิภาคนี้ เมื่อราว พ.ศ. 2060 โดยอาศัยหลักฐานจากพิธีกรรมบางอย่าง เช่น การตั้งพิธีสวดมนต์ตามวิธีการทางไสยศาสตร์ และคาถาแห่นก ซึ่งอ่านเป็นโองการก่อนปล่อยนกออกแห่ แต่ อนันต์ วัฒนานิกร นักวิชาการท้องถิ่น ได้เสนอความเห็นว่า ประเพณีแห่นกน่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ภูมิภาคนี้ได้รับศาสนาอิสลามเข้ามาเป็นศาสนาประจำท้องถิ่นแล้ว โดยเสนอว่า ประเพณีแห่นกน่าจะมีที่มาจากเรื่องราวของนกอัลโบรัก ซึ่งเป็นทูตแห่งสวรรค์ ตามความเชื่อของศาสนาอิสลามและจากพิธีเจ้าเซ็น ซึ่งเป็นพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม ก็ปรากฏรูปนกอัลโบรักขนาดใหญ่ เข้าร่วมในขบวนนี้ด้วย จึงน่าจะเป็นที่มาของประเพณีแห่นกนี้ แต่สาเหตุที่ชื่อนกอัลโบรัก หรือบอเราะฮ์ ไม่ปรากฏในรายชื่อนกประดิษฐ์ขึ้นแห่แหนในพิธี อาจะเป็นเพราะอิทธิพลของวรรณคดีอินเดีย โดยเฉพาะเรื่องราวของมหากาพย์รามายณะ ซึ่งได้เข้ามามีอิทธิพลต่อประชาชนแถบนี้ก่อนแล้ว จึงนิยมใช้ชื่อนกตามวรรณคดีเรื่องนั้นแทน

ปัจจุบัน ประเพณีแห่นกยังคงนิยมแพร่หลาย ทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีตำนานเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีแห่นกว่า เริ่มขึ้นที่ ยาวอ (ชวา) รายอองค์หนึ่งมีโอรสธิดาหลายพระองค์ พระธิดาองค์สุดท้ายเป็นที่รักใคร่ของพระบิดาอย่างยิ่ง พระบิดาและข้าราชบริพารรักใคร่เอาใจ สรรหาสรรพสิ่งมาบำเรอเอาใจ รวมทั้งมีการจัดทำนกประดิษฐ์ ตกแต่งสวยงาม แล้วมีขบวนแห่จัดแก่วนรอบพระที่นั่ง พระธิดาพอพระทัยมาก จึงโปรดให้มีการแห่นกทุก 7 วัน แต่บางตำนานก็เล่าว่ารายอมีโอรสธิดาสี่พระองค์ องค์สุดท้องเป็นชาย มีพระสิริโฉมงดงาม ทั้งยังทรงปฏิภาณไหวพริบ ฉลาดเฉียบแหลมกว่าพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีทั้งหมด พระบิดาและพระมารดาจึงรักใคร่มาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระโอรสประสงค์รายอ จะทรงเสาะแสวงหามาให้เสมอ วันหนึ่งรายอเสด็จประพาสทรงเบ็ด พบชาวประมงกลุ่มหนึ่ง และได้สดับฟังเรื่องนกประหลาดจากทะเล ซึ่งหัวหน้าชาวประมงเล่าถวาย นกนั้นผุดจากท้องทะเลมีขนาดใหญ่ ดวงตาโตแดงก่ำ มีงวง มีงา และเขี้ยว ประหลาดน่ากลัว แต่เมื่อนกนั้นบินขึ้นสู่อากาศกลับมีรูปร่างสีสันทั้งปีกและหางสวยงามกวานกทั้งปวง ชาวประมงเหล่านั้นเชื่อว่า คงเป็นนกแห่งสวรรค์เป็นแน่

เมื่อรายอเสด็จกลับคือสู่อิสตานา ได้ทรงเล่าเรื่องราวนี้แก่ปะไหมสุหรี และโอรสธิดาฟัง พระโอรสสุดท้องพอใจเรื่องนกมหัศจรรย์มาก จนรบเร้าให้รายอสร้างรูปยกจำลองขึ้น พระองค์จึงสั่งให้อำมาตย์และนายช่างทั้งหลายดำเนินการ จากคำบอกเล่าของชาวประมงผู้พบเห็น ช่างแกะสลักจึงได้แกะสลักไม้เป็นรูปหัวนก ซึ่งร่างโดยช่างเขียน เกิดเป็นนกประดิษฐ์แตกต่างกันไป ตามภาพวาดของนายช่าง หัวนกไม้ทั้งสี่มีนามว่า กาเฆาะซูรอ กรุดา บือเฆาะมาส และบุหรงซีงอ ในงานเฉลิมฉลองนก พระโอรสธิดา ทั้งสี่พระองค์ได้ประทับบนหลังนกเข้าขบวนแห่ไปรอบอิสตานา เป็นกระบวนแห่มโหฬาร เชื่อว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีแห่นก ซึ่งยังคงกระทำอยู่ในปัจจุบัน

ประเพณีแห่นกของจังหวัดปัตตานี ชาวปัตตานีถือว่าเป็นประเพณีสำคัญ ซึ่งจัดขึ้นในงานเทศกาลเฉลิมฉลอง หรือจัดเพื่อต้อนรับอาคันตุกะสำคัญของบ้านเมือง หรืองานมงคลทั่วไป เช่นเดียวกับที่ยึดปฏิบัติในท้องถิ่นอื่นตามที่กล่าวไว้ข้างต้น

มีหลักฐานกล่าวถึงการจัดประเพณีแห่นกครั้งสำคัญๆ ของเมืองปัตตานีแต่อดีต เช่น พระยาวิชิตภักดี (ตนกูอับดุลกอเดร์) อดีตเจ้าเมืองปัตตานี เมื่อจัดพิธีสุหนัตให้แก่ตนกูจิซึ่งเป็นน้องชาย ก็ได้จัดให้ผู้เข้าสุหนัตขี่นกเข้าขบวนแห่ ซึ่งจัดอย่างเอิกเกริกใหญ่โตด้วย

เมื่อ พ.ศ. 2406 ในคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรภาคใต้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ชาวเมืองปัตตานี ก็ได้จัดขบวนแห่นกถวาย เพื่อแสดงความจงรักภักดีด้วย แต่เรือกลไฟพระที่นั่งติดสันดอน แล่นเข้าไปยังตัวเมืองไม่ได้ เจ้าเมืองปัตตานี (พระยาวิชิตภักดี) และเจ้าเมืองยะหริ่ง (พระยาพิพิศเสนามาตย์) จึงจัดขบวนเรือรับเสด็จ โดยใช้หัวนกกาฆะซูรอ ติดโขนเรือพระที่นั่งอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินสู่เมืองปัตตานี แทนขบวนแห่นก

พ.ศ. 2458 ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปัตตานี ผู้ว่าราชการเมืองต่างๆ จัดขบวนแห่นกถวายทอดพระเนตรถึง 65 ขบวน

พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  รัชกาลปัจจุบัน เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนภาคใต้ ชาวเมืองปัตตานีได้จัดขบวนแห่นกรับเสด็จ

พ.ศ. 2511 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม มีการแห่นกในพระราชพิธีขึ้นระวางสมโภช พระเศวตคชาธารฯ ช้างเผือกคู่พระบารมีในรัชกาลปัจจุบัน ณ จังหวัดยะลา

พ.ศ. 2524 การแห่นกในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเขต ครั้งที่ 14 จังหวัดปัตตานี

 กำหนดงาน
          จัดในโอกาสสำคัญเป็นครั้งคราว เช่น งานเฉลิมฉลองตามเทศกาล รับอาคันตุกะสำคัญเทศกาลฮารีรายอ

กิจกรรม / พิธี
          ประเพณีแห่นก จะมีการจัดขบวนแห่ ประกอบด้วยอุปกรณ์และกำลังคนมากมาย ก่อนจะเริ่มขบวนแห่นั้น ต้องมีการประกอบพิธีกรรมเพื่อเป็นสิริมงคลแก่คนทั่วไป และผู้ร่วมพิธีด้วย

พิธีกรรมและกิจกรรมต่างๆ เริ่มกระทำกันตั้งแต่ก่อนจัดแห่นก โดยมีลำดับต่อไปนี้
1. การประดิษฐ์นก นิยมเลือกไม้เนื้อแข็งเหนี่ยว จำพวกไม้ตะเคียน ไม้กายี เป็นต้น เพราะไม่แข็งจนเปราะสะดวกต่อการแกะสลักของช่าง ทนทาน ใช้งานได้นาน

ระยะเวลาต่อการแกะสลักหัวนก 1 หัว จะใช้เวลาราว 1-2 เดือน เพราะต้องใช้ฝีมือความชำนาญเรื่องงานแกะสลัก ทั้งยังใช้เวลานานต่องานชิ้นหนึ่งๆ ทำให้ระยะหลังจึงมักนิยมสานหัวนกด้วยไม้ไผ่ หุ้มกระดาษสีเป็นส่วนมาก
ตัวนก ใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นโครงติดคานหาม นำกระดาษติดรองพื้นใช้กระดาษสีตัดเป็นขนประดับส่วนต่างๆ นิยมใช้สีเขียว สีทอง (เกรียบ) ประดับตกแต่งให้สีตัดกัน แลดูเด่นขึ้น

นกที่นิยมประดิษฐ์เข้าขบวนแห่มีเพียง 4 ตัว (ดังตำนานเรื่องเล่าข้างต้น) คือ
ก.) นกกาเฆาะซูรอ หือ นกกากะสุระ ตามการสันนิษฐานเป็นนกการเวก ตามบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ คือ กากนาสูรชาวพื้นเมืองเรียก นกทูนพลู
นิยมแต่งให้มีหงอนสูงแตกเป็น 4 แฉก ตานกประดับด้วยลูกแก้วสี กลอกไปมาได้ มีงาคล้ายงาช้างเล็กๆ ยื่นจากปาก ทำให้แปลกจากนกธรรมดา เพื่อให้สมกับเรื่องเล่าว่าเป็น นกสวรรค์

ข.) นกกรุดา หรือ นกครุฑ ภาษาถิ่นปัตตานี เรียกครุฑว่า การุดอลักษณะของนกประดิษฐ์จะเป็นเช่นที่พิมพ์บนธนบัตรไทย ปัจจุบันไม่นิยมจัดทำนกชนิดนี้เข้าขบวนแห่ เพราะเชื่อว่ามีอาถรรพ์เกิดแก่ผู้ทำ ทำให้เจ็บป่วย ถือว่าผีแรง ถ้าขาดผู้รู้จริงจะไม่สามารถปัดรังควานได้สำเร็จ เมื่อตกแต่งเสร็จจะดูน่ากลัว

ค.) นกบือเฆาะมาศ หรือ นกยูงทองคล้ายกับนกกาเฆาะซูรอ ชาวไทยมุสลิมจะยกย่องนกยูงทองมาก และไม่บริโภคเนื้อ เพราะเป็นนกรักขนมาก เมื่อติดบ่วงจะยอมตายไม่ยอมเสียขน การประดิษฐ์นกจะมีหงอนสวยงามเป็นพิเศษ

ง.) นกบุหรงซีงอ หรือ นกสิงห์ ตรงกับนกหัสดีลิงค์ ตามนิทานปรำปราของไทย นกนี้มีหัวเป็นนก มีตัวเป็นราชสีห์  มีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศและดำน้ำได้ ปากมีเขี้ยวงา

2. พิธีสวมหัวนก เป็นพิธีกรรมบาเซ่นสรวงหัวนกด้วยเครื่องเซ่นต่างๆ ตามตำราโบราณมีการนำเครื่องเซ่นสังเวยไปวางหน้าหัวนก มีผู้ประกอบพิธีกรรม จุดเทียนเผากำยานพร้อมทั้งกล่าวคาถาบูชา

บทคาถาบูชา มีดังนี้
เฮ บูรา เวง เวง ลักษมานอ ฆาเฆาะสุรอ แลกาปอ ซีงอ
  เฮ องพรหมจิต พรหมใจ จุติกาโลแซ มาจารีฆูรู
  ลูกูทอ ลูกูแท ลูกูแน ลูกูสะ องหมาฆูรู องมหาไฉน
  องมหาบดี (ปะลืปัส)
เมื่อจบคาถา ผู้ทำพิธีจะนำใบมะพร้าวเทิดขึ้นเสมอหน้า แล้วกล่าวคำ ปะลืปัสแปลว่า หลุดพ้น, ปลอดภัย เป็นอันเสร็จพิธี
คาถานี้ถอดเป็นภาษาไทยได้ดังนี้
โอม พรหมจิต ไรหมใจ ขจัดจัญไร กาลเทพ
   คุรุทพ โอมมหาคุรุ โอมมหาไฉน โอมมหาบดี ปกป้องภัย…. “
เครื่องเซ่นสังเวยในพิธีนี้ ประกอบด้วย
- ผ้าเพดาน ขนาด 1*1เมตร สำหรับขึงตรงหัวนก
- ข้าวเหนียวสมางัด 1 พาน คือ ข้าวเหนียวสามสี มีเหลือง, แดง, ขาว
- ขนมดอลอย 1 จาน ใช้เฉพาะประกอบพิธี ไม่นิยมรับประทาน
- ข้าวสารย้อมสีเหลือง 1 จาน, แป้ง, น้ำหอม, กำยาน, เทียน, ทอง, เงิน
- เงินค่าบูชาครู 12 บาท
- ใบอ่อนมะพร้าว 2-3 ใบ

3. การจัดขบวนแห่นก ขบวนแห่นกจะมีขอกำหนดหรือองค์ประกอบรูปแบบ การจัดขบวนซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลังคน อุปกรณ์ต่างๆ มากมาย องค์ประกอบของขบวนแห่ประกอบด้วยชุดต่างๆ เรียงจากต้นขบวน ได้แก่
- เครื่องประโคม ประกอบด้วย คนเป่าปีขวา (สุไน) 1 คน กลองแขก (คันดัง) 1 คู่ ใช้คนตีสองคน ฆ้องใหญ่ 1 ใบ ใช้คนหามและคนดีฆ้องรวม 2 คน ชุดเครื่องประโคมนี้จะประโคมดนตรีนำหน้าขบวนแห่นกไปจนถึงจุดหมาย และบรรเลงในเวลาแสดงสิละ รำกริช
- ขบวนบุหงาสิรี (บายศรี) จะคัดเลือกหญิงสาวสวย มีรูปร่างได้สัดส่วน มาเป็นผู้ทูนพานบายศรี สตรีเหล่านี้จะแต่งกายร่วมขบวนด้วยอาภรณ์หลากสี ตามประเพณีท้องถิ่น
พานบายศรีใช้พานทองเหลือง จำนวนจะนิยมให้เป็นเลขคี่ คือ 3, 5, 7 หรือ 9 พาน
- ทวิรักขบาท คือ ผู้ดูแลนก เทียบได้กับนายทหารประจำเท้าช้างของแม่ทัพโบราณ (จัตุลักคบาท) ใช้ชาย 2 คน แต่งกายนักรบถือกริช เดินนำหน้านก คัดเลือกจากผู้ชำนาญการร่ายรำ สิละ รำกริช รำหอก ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของชาวมุสลิม
เมื่อแห่ไปถึงจุดหมาย หรือที่อาคันตุกะพักอยู่ ทวิรักขบาทจะใช้ศิลปะการร่ายรำให้แขกชมด้วย
- ขบวนนกประดิษฐ์ ได้แก่ นกประดิษฐ์ ซึ่งมีลักษณะตามที่กล่าวมาแล้ว จัดให้ยืนมาบนคานหาม ใช้ผู้หามจำนวนมาก-น้อย ขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักของนก นกขนาดใหญ่อาจใช้คนหามถึง 16 คน ผู้หามแต่งกายเครื่องแบบพลทหารถือหอกเป็นอาวุธ
- ขบวนพลกริช ขบวนพลหอก ผู้คนในขบวนแต่งกายนักรบสมัยโบราณ ถือหอก กริช เดิน ตามหลังขบวนนกประดิษฐ์ จำนวนทหารนี้ยิ่งมีมากเท่าไหร่จะช่วยเสริมให้ขบวนแห่นกดูน่าเกรงขามขึ้นเท่านั้น
หากเป็นการแห่นกเข้าในพิธีสุหนัต จะมีลักษณะต่างไปเล็กน้อย ได้แก่ อาจใช้นกเพียง 1 ตัว ก็ได้ จะแห่เช้าของวันเข้าพิธี หรือแห่ 2 ครั้ง คือในเย็นของวันก่อนเข้าพิธีสุหนัตด้วยก็ได้
เริ่มขบวนด้วยผู้หญิงถือเชี่ยนหมากและกาน้ำเดินนำหน้า ถัดมาเป็นผู้หญิงถือพานบายศรี (พานดอก-พลู : ทำด้วยใบพลูจับเป็นชั้น 3, 5, หรือ 7 ชั้น)
ถัดมาเป็นขบวนผู้ชายถืออาวุธ อารักขารอบๆ นกในขบวนนี้ จะมีประโคมดนตรีและเต้นอิสระไปพร้อมๆ กัน
สุดท้ายจึงเป็นขบวนนก ก่อนเริ่มแห่ โต๊ะมูเด็ง” (ผู้ทำหน้าที่ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ) จะจุดเทียนและร่ายอาคม เวียนรอบนก โดยเดินเวียนซ้าย 3 รอบ และเดินย้อนกลับอีก 1 รอบ แล้วจึงให้ผู้จะเข้าพิธีสุหนัตขึ้นหลังนก จากทางด้านขวา (ลงทางซ้าย) จากนั้นจึงเคลื่อนขบวนไปยังสถานที่ประกอบพิธีเมื่อขบวนถึงที่หมาย โต๊ะมูเด็งจะร่ายอาคมทำพิธีเชือดเป็นเสร็จพิธี

4. ข้อห้ามตามความเชื่อ ข้อห้ามตามความเชื่อนี้ ปรากฏเฉพาะในการแห่นกเข้าพิธีสุหนัตเท่านั้น มีความเชื่อหลายประการ เช่น ห้ามผู้ใดเดินผ่านหน้านกซึ่งวางไว้ก่อนเริ่มขบวนแห่เด็ดขาด มิฉะนั้นจะเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ นานา จึงมีการปักไม้ไว้ด้านหน้านกให้เป็นที่สังเกต
ผู้เข้าพิธีสุหนัต จะต้องมีพี่เลี้ยงนั่งบนหลังนกด้วย 1 คน หากเป็นงานที่ชาวบ้านจัดเอง ต้องให้ผู้มีเชื้อสายเจ้าเมืองขึ้นไปนั่งด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นต้น

ประเพณีแห่นกของจังหวัดปัตตานี กล่าวได้ว่า เป็นประเพณีสำคัญของท้องถิ่น ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดการรวมตัว ร่วมกิจกรรมกันของชาวท้องถิ่น เป็นประเพณีซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะดนตรีท้องถิ่นให้คงอยู่ แสดงถึงภูมิปัญญาแล้วัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวปัตตานี ที่สืบเนื่องจากอดีตมาสู่ปัจจุบันด้วย

ลิเกฮูลู

          ดีเกฮูลู ในสมัยก่อนเจ้าเมืองรามัน เจ้าเมืองปัตตานี เรียกว่า 7 หัวเมือง ใช้ดีเกฮูลูสำหรับทำพิธีในงานใหญ่ ๆ ส่วนในปัจจุบันใช้ในงานต่าง ๆ

คนไทยนิยมเรียก ลิเกฮูลู หรือจะเรียกว่าลำตัดมลายูก็ได้ เพราะเป็นต้นกำเนินของลำตัดไทย เป็นการแสดงประเภทศิลปะการร้องประกอบดนตรีของคนพื้นเมืองในแถบชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ตลอดจนในเขตประเทศมาเลเซียตอนเหนือ เช่น กลันตัน ไทรบุรี ปาหัง ตรังกานู นิยมกันแพร่หลาย กล่าวโดยทั่วไปการแสดงลิเกฮูลู คล้ายกับ ลำตัดทางภาคกลางของไทย

       รากกำเนิดได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาอิสลาม คือ พวกพ่อค้าชาวเปอร์เซียนอกจากเดินทางเรือเข้ามาค้าขายแล้ว ยังนำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ด้วย ทำให้ดินแดนหมู่เกาะทะเลใต้และปลายแหลมมลายู หรืออินโดนีเซีย มาเลเซีย ปัจจุบันเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งในพิธีทางศาสนาอิสลามมีบทสวด สรรเสริญพระเจ้า ตามปกติเป็นบทขับร้องสำคัญที่ขับร้องกันในวันสำคัญทางศาสนา ในสมัยพระยาเมืองปกครอง ๗ หัวเมืองมลายู เช่น งานเมาลิดหรือวันกำเนิดพระนาบี บทสวดนี้ชาวเปอร์เซียเรียกว่า ดีเกร์เมาลิด” (มาจากคำซีเกร์ Zikir ในภาษาอาหรับ) เป็นการขับร้องที่มีเสียงไพเราะน่าฟังมากเรียกกันว่า ละไปหรือ ซีเกร์มัรฮาบาเป็นการร้องเพลงประกอบการตีกลองรำมะนา ชาวมลายูพื้นเมืองเห็นบทสวดนี้ฟังสนุกแต่ไม่เข้าใจ จึงเอาทำนองมาดัดแปลงพร้อมแต่งเนื้อคำร้องเป็นภาษาพื้นเมืองขึ้นร้องเล่น ก่อน ต่อมาเมื่อมีผู้เห็นว่ามันสนุกฟังไพเราะและคนทั่วไปฟังเข้าใจ จึงพัฒนานำมาขับร้องในที่สาธารณะอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีการแยกเป็น ๒ ฝ่าย พร้อมแต่งกายให้สวยงามและร้องโต้ตอบแก้กันไปมา ใช้คารมเสียดสีปฏิภาณ ไหวพริบโต้กัน หรือพูดเรื่องตลกโปกฮาหรือประยุกต์ให้เข้าเรื่องกับงานแสดงในโอกาสต่างๆ มีเครื่องดนตรีตีประโคมในที่สุดจึงได้กลายมาเป็น
ดีเกฮูลู

              คำว่าฮูลูแปลว่า ทางเหนือน้ำ (ฝ่ายใต้น้ำเรียก ฮิเล) คือ ท้องที่เหนือน้ำ (ต้นน้ำ) ในที่นี้หมายถึง ต้นกำเนิดของแม่น้ำปัตตานี คือ แถบอำเภอเบตง อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และอำเภอมายอ จังหวดปัตตานี อันเป็นการบอกให้รู้ว่าแหล่งกำเนิดของลิเกฮูลูพื้นบ้านมาจากท้องที่ดังกล่าว นั่นเอง ซึ่งทางรัฐกะลันตันเรียก ดีเกบารัต” (ลิเกตะวันตก) อันเป็นการยุติต้องกันว่า ดีเกฮูลูมีกำเนิดจากชนบทคนพื้นเมืองในย่านนี้อย่างแท้จริง


   การแต่งกาย พวกคณะลิเกฮูลูโดยมากเป็นผู้ชาย คณะที่เป็นผู้หญิงไม่นิยม การแต่งกายเดิมใช้เครื่องแต่งกายพื้นเมืองธรรมดา ต่อมามีการประกวดประชันกัน แต่ละคณะจึงคิดขุดเครื่องแบบขึ้นเอง เช่น ลูกคู่แต่งชุดขาว คาดผ้าลิลินัง ใส่หมวกหนีบ ลางคณะแต่งใส่เสื้อยืดเป็นทีมพ่นชื่อคณะติดหน้าอก ศีรษะโพกผ้าก็มี ส่วนคนขับร้องกลอนแต่ละฝ่ายใช้ 1-2คน แต่งกายงามเป็นพิเศษ คือ แต่งชุดสลีแน
  
            เครื่องดนตรี มี กลองรำมะนา 2-4 ใบ และฆ้อง 1 วง เป็นหลัก นอกนั้นอาจมีกลองรำมะนาเล็ก และมีลูกแซ็ก (1-2คู่) เขย่าประกอบจังหวะ บางคณะอาจเพิ่มขลุ่ยและเครื่องดนตรีสมัยใหม่อย่างอื่นเข้าไปด้วย เพื่อให้มีบรรยากาศแปลกใหม่และต่างจากฝ่ายตรงข้าม เดิมลูกคู่มี 7-10 คน ใช้วิธีปรบมือ ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นใช้แผ่นโลหะตีแทน เพื่อให้เสียงดังหนักแน่น


         ลักษณะการแสดง ลิเก ฮูลูคณะหนึ่งมีลูกคู่ราว 10 คน ผู้พากษ์ขับร้อง 1-2 คน เวลาเล่นลูกคู่และผู้ร้องขับกลอนจะหันหน้าไปทางผู้ชม ถ้าเป็นการประชันวงจะนั่งเรียงแถวแบ่งเวทีคนละครึ่ง และนั่งหันหน้าไปทางผู้ชมหน้าเวที พวกนักดนตรีจะนั่งอยู่แถวหลังลูกคู่อยู่หน้า การแสดงจะผลัดกันลุกยืนร้องกลอนโต้ตอบกันคนละรอบ ผลัดกันรุก-รับร้องแก้ด้วยคารมเสียดสีกันเป็นที่สนุกสนานสบ อารมณ์ผู้ชม เวลาร้องกลอนดนตรีจะหยุด ทำนองเดียวกับการเล่นลำตัด จังหวะดนตรีมีทั้งช้าและเร็ว คือ ปกติมี ๓ จังหวะ คือ สโลว์ แมมโบร์สโลว์ และจังหวะนาฏศิลป์อินเดีย

หนังตะลุง

หนังตะลุง

หนังตะลุงเป็นศิลปะการแสดงอย่างหนึ่งของชาวปักษ์ใต้  มีทั้งบทพากษ์และบทเจรจา  ผิดกันกับพากย์โขนหรือละคร  ส่วนมากใช้กลอนตลาด  เดิมทีเดียวเล่นเรื่องรามเกียรติ์เป็นพื้น  ครั้นต่อมานายหนังเลือกเรื่องอื่น ๆ  ในวรรณคดีไทยบ้าง  ชาดกบ้าง  แล้วแต่จะเห็นสมควร  เช่นเรื่องไกรทอง  ไชยเชษฐ์  แก้วหน้าม้า  เป็นต้น  การทำรูปหนังตะลุงจะต้องวาดรูปสมมติลงในแผ่นหนังสัตว์ต่าง ๆ  เช่น  หนังวัว  หนังควาย  หนังเก้ง  หรือกะจง  เป็นต้น โดยเอาหนังมาแช่ในน้ำสัม  แล้วเอามาขูดให้บางใสแล้วขึงให้ตึง  วาดรูปพระ  รูปนาง  รูปยักษ์  ตามที่ต้องการ  ต่อจากนั้นก็ตัดออกมาเป็นรูปและระบายสี  แล้วใช้ตับคีบสำหรับถือ  หรือปักที่หน้าจอ  ใส่มือและไม้ผูกติดกับมือสำหรับเชิดก็เป็นอันเสร็จ  ถ้าเป็นรูปตัวตลกไม่จำเป็นจะต้องพิถีพิถันมากนัก  แต่ตัวพระตัวนางจะต้องประณีตเป็นพิเศหนังตะลุงมีประวัติความเป็นมาอย่างไรยังถือเป็นข้อยุติไม่ได้  ชาติก่อนแก่คืออียิปต์  กรีด  โรมันจีนและอินเดีย  มีนิยายปรัมปราเกี่ยวกับการแสดงหนังและหุ่นมาแล้ว  ตัวหนังนั้นทำด้วยกระดาษแข็ง ๆ  บ้าง  แผ่นดีบุกบ้าง  ส่วนทางเอเชียนิยมทำด้วยหนังสัตว์  ทางชวามี  วายังกุลิต  (วายัง  แปลว่า  การแสดงกุลิต  แปลว่าหนัง)  อินเดียเริ่มมีการแสดงหนังหลังพุทธกาลเล็กน้อย  ไทยและชวาอาจจะรับต้นเค้ามาจากอินเดียก็ได้
          มหรสพของไทยเราที่ขึ้นหน้าขึ้นตามาแต่โบราณก็คือหนังใหญ่  หนังใหญ่นั้นมีหลักฐานที่ปรากฏว่าเล่นกันมาก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ในวรรณคดีเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์ได้กล่าวว่า  แต่งขึ้นเพื่อใช้เล่นหนังในพระราชพิธี  ซึ่งน่าจะหมายถึงหนังใหญ่นั่นเองมีผู้เชื่อว่าหนังใหญ่น่าจะมีมาก่อนหนังตะลุง
                สุนันทา  โสรรัจจ์  สันนิษฐานไว้ใน  โขน  ละคร  ฟ้อนรำ  และการละเล่นพื้นเมือง”  ว่า  หนังตะลุงคงเป็นมหรสพอย่างหนึ่งซึ่งมีราราว ๆ  สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น  หรือก่อนจากนั้นและประการหนึ่ง  การเล่นหนังตะลุงคงมีมาแต่สมัยที่ศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลเหนือศาสนาพุทธเพราะจะเห็นว่าฤาษีและพระอิศวรนั้นเป็นแบบพราหมณ์โดยแท้
                ชาวภาคใต้เรียกหนังตะลุงว่า  หนัง”  เฉย ๆ  ก็มมี  บางทีเรียกว่า  หนังลุง”  หรือ  หนังควน”  ก็มี  ส่วนชื่อเรียกว่า  หนังตะลุง”  นั้นมีผู้สันนิษฐานว่า  การมหรสพที่เรียกว่าหนังตะลุงได้มีแพร่หลายขึ้นที่เมืองพัทลุงก่อนที่อื่น  คนทั่วไปจึงเรียกหนังที่มาจากจังหวัดพัทลุงว่า  หนังพัทลุง”  หรือ  หนังพัดลุง”  จนเป็นหนังลุง  ในภาษาปักษ์ใต้และเป็น  หนังตะลุง”  ในภาษากลาง  เพราะอาจจะกร่อนมาจาก  หนังพัทลุง”  ก็ได้
                จังหวัดนครศรีธรรมราชดูเหมือนจะเป็นจังหวัดหนี่งที่มีคณะหนังตะลุงมากที่สุดกล่าวคือมีคณะหนังตะลุงอยู่ทั่วไปเกือบทุกอำเภอ  คณะที่มีชื่อเสียงได่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมักตั้งหลักแหล่งอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นส่วนใหญ่  ในปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า  หนังตะลุงที่มีชื่อเสียงนั้นมีหนังตะลุงของนครศรีธรรมราชรวมอยู่ด้วยเป็นส่วนมากหนังตะลุงที่มีชื่อเสียงในอดีตได้แก่หนังดำวิน  หนังเอียดนุ้ย  หนังเรื้อย  หนังตุด  หนังสังข์ และหนังจันทร์แก้ว  เป็นต้น  ส่วนหนังตะลุงที่ยังมีชีวิตอยู่และมีชื่อเสียงมากในปัจจุบันมีอยู่หลายคณะ  เช่น  หนังประทิน  หนังปรีชา  หนังเคล้าน้อย  เป็นต้น ( ชวน เพชรแก้ว หนังตะลุง  :  มหรสพพื้นบ้านของจังหวัดนครศรีธรรมราช )
ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุง
                                                                                               
          หนังตะลุงมีประวัติความเป็นมาอย่างไรนั้น  ยังยุติไม่ได้  เพราะมีผู้สันนิษฐานขัดแย้งกันเป็นหลายทาง  ยังไม่มีฝ่ายใดนำหลักฐานมาอ้างให้ปักใจเชื่อได้  นายธนิต  อยู่โพธิ์  ได้เขียนไว้ในหนังสือ  โขน”  ว่า  มหรสพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวไทยในสมัยโบราณอีกอย่างหนึ่งก็คือหนัง  ซึ่งเราเรียกกันในภายหลังว่า  หนังใหญ่  เพราะมีหนังตะลุง  ซึ่งเป็นหนังตัวเล็กเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง  จึงเติมคำเรียกให้แตกต่างกันออกไป”(๑)    ถ้าตีความตามนี้ก็แสดงว่าหนังตะลุงเกิดหลังหนังใหญ่ของภาคกลาง  หนังใหญ่นั้นมีหลักฐานปรากฏว่าเล่นกันมาก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ดังเช่นในวรรณคดีเรื่องสมุทรโฆษ  ก็บอกไว้ว่าผู้ประพันธ์  ประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นโดยพระบรมราชโองการเพื่อใช้เล่นหนังในงานพระราชพิธี  ดังความว่า
                                พระให้กล่าวกาพย์นิพนธ์                  จำลองโดยดล
                ตระการเพรงยศพระ
                                ให้ฉลักแสบภาพอันชระ                   เป็นบรรพ์บุรณะ
                นเรนทรราชบรรหาร         
                                ให้ทวยนักคนะผู้ชาญ                         กลเล่นโดยการ
                ยะเป็นบำเทิงธรณี
               
ถ้ามองในมุมกลับกัน  หนังใหญ่อาจจะเกิดหลังหนังตะลุงก็ได้  เพราะคำว่าตะลุง  ก็เป็นคำใหม่มาก  เพราะชาวภาคใต้เรียกการละเล่นแบบนี้ของเขาว่า  หนัง  เฉย ๆ  เหมือนกัน  บางทีก็เรียกว่า  หนังควน  ส่วนที่เรียกว่าหนังตะลุงนั้น  สันนิษฐานกันว่า  เป็นคำที่เกิดขึ้นตอนที่หนังควนได้เข้ามาแสดงในกรุงเทพฯ  มีบางท่านกล่าวว่า  หนังควนได้เปลี่ยนชื่อเป็นหนังตะลุง  เมื่อสมัยรัชกาลที่  3  สมัยนั้นหนังของเมืองพัทลุง  ได้เข้าไปแสดงในกรุงเทพฯ  ชาวกรุงเทพฯ  ก็เรียกหนังควนว่าหนังพัทลุง  แล้วเป็นทลุง  เป็นตะลุง”(๒)     ชาวใต้รับคำนี้ไปใช้แพร่หลายในตอนที่ทางภาคใต้มีมหรสพแบบใหม่เกิดขึ้นซึ่งชาวใต้เรียกว่า  หนังญี่ปุ่น  (ภาพยนตร์)(๓)      นั่นเอง


ที่มา : หนังตะลุง  :  อัจฉริยะลักษณ์การละเล่นแห่งเมืองใต้ 2544
บางท่านว่าหนังตะลุงนั้นเป็นของใหม่  ซึ่งเกิดขึ้นในรัชกาลที่  5  พวกชาวบ้านควนมะพร้าว  แขวงจังหวัดพัทลุง  คิดเอาอย่างหนังแขก  (ชวา)  มาเล่นเป็นเรื่องไทยขึ้นก่อน  แล้วจึง แพร่หลายไปที่อื่น ๆ  ในมณฑลนั้นเรียกกันว่าหนังควน  เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์  (วร  บุนนาค)  พาเข้ามากรุงเทพฯ  ได้เล่นถวายตัวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  (ร. 5)  เป็นครั้งแรกที่บางประอิน  เมื่อปีชวด  พ.ศ.  2419(๔)     ทรงถามว่ามาจากไหนก็ได้รับคำตอบจากคนใต้  ซึ่งชอบพูดสั้น ๆ  ว่า  หนังลุง  ซึ่งหมายถึงหนังที่มาจากเมืองพัทลุง  จึงเรียกกันมาว่า  หนังตะลุง”  จนบัดนี้   อย่างไรก็ตาม  คำหนังตะลุงคงจะใช้กันแพร่หลายแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  5  ดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้  พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  (เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช)  ฉบับที่  1  ลงวันที่  12  เมษายน  รัตนโกสินทร์ศก  128  (พ.ศ.  2452)  ความตอนเสด็จจังหวัดชุมพรมีว่า  ในตอนค่ำก็มีมหรสพต่าง ๆ  มาเล่นถวายคือเพลง  1  โรง  หนังตะลุง  1  โรง  มโนราห์  1  โรง  คนติดเพลงมากกว่าอย่างอื่น  เห็นจะเป็นเพราะเป็นของแปลก  นาน ๆ  ได้ดูครั้งหนึ่ง  และถ้อยคำที่ใช้โต้ตอบกันก็อยู่ข้างเผ็ดร้อนถึงใจอยู่ด้วย”(๕)      นี่แสดงว่าคำหนังตะลุงใช้กันแพร่หลายแล้ว  และการเล่นหนังตะลุงเป็นมหรสพสามัญสำหรับชาวชุมพร  จึงหันไปสนใจเพลง  (อาจจะเป็นเพลงบอกหรือเพลงเรือ)  และหนังที่ว่า  เล่นถวายนี้  มีผู้อ้างว่า  ชื่อ  หนังนกแก้ว  เป็นหนังจังหวัดชุมพร  แสดงจนเป็นที่พอพระหฤทัยมาก  จนได้รับพระราชทานรางวัล
                ถึงอย่างไรก็ตามการที่จะนำเพียงชื่อ  เถียงกลับว่าหนังตะลุงเกิดก่อนหนังใหญ่ก็นั้นเป็นเพียงสะกิดเล่น ๆ  เท่านั้น  ควรอาศัยเหตุผลด้านอื่น ๆ  ด้วย  ถ้าดูลักษณะรูปหนังตะลุง  ก็เห็นว่าขนาดรูปหนังใหญ่โตกว่ารูปหนังตะลุงหลายเท่า  การวิวัฒนาการของรูปหนัง  น่าจะไปในรูปย่อให้เล็กลงมากกว่าจะขยายให้โตขึ้น  พูดถึงสีของตัวรูปหนังใหญ่  เดิมทีเป็นสีดำล้วน  ส่วนรูปหนังตะลุงตัวสำคัญมักระบายสีและฉลุลายสวยพิสดารกว่า  อันแสดงว่าเป็นรูปที่พัฒนามาในยุคหลัง  ถ้าพิจารณาเนื้อหาและลักษณะคำประพันธ์ของบทพากย์รูปพระอิศวรทรงโค  ของหนังตะลุงหลายสำนวน  มีลักษณะคล้ายบทพากย์หนังใหญ่  และคล้ายกับบทนำในสมุทรโฆษ  ซึ่งแสดงว่าต้องมีความเกี่ยวพันกันแน่  เช่น  (บทพากย์รูปพระอิศวร)
                                ราตรีเอาอัคคีจุดจ่อแจ่มใส  หนังโคส่องแสงไฟ
                แลดูวิจิตรลวดลาย

โอมพร้อมมหาพร้อมไปด้วยเครื่องประโคมทั้งหลาย  ชูเชิดเฉิดฉายยักย้ายอรชรอ่อนออ
ตัดไม้ไผ่มาสี่ลำ                                    เอามาทำเป็นหน้าจอ
                สี่มุมหุ้มห่อ                                                           ด้านหนึ่งลาดด้วยผ้าขาว

เอาหนังโคมาวาดเป็นพระอิศวรนารายณ์ดาว  ชักรถกลางหาวพระอาทิตย์จะเลื่อนลับแสง(๖)
การเล่นหนังใหญ่  แตกต่างกับหนังตะลุงที่เครื่องดนตรีอีกประการหนึ่ง  คือ  หนังใหญ่  มีพิณพาทย์  ระนาด  ตะโพน  ส่วนหนังตะลุงมี  กลอง  ทับ  ปี่  โหม่ง  ฉิ่ง  ส่วนวิธีการแสดงก็ดำเนินไปคล้ายกัน  หนังใหญ่จะเริ่มดวยพิณพาทย์  ทำเพลงโหมโรง  เริ่มด้วยเพลงสาธุการ  เพลงตระแล้วคนพากย์ก็เชิดรูป  พระอิศวร  พระนารายณ์  และรูปพระฤาษี  ออกตามลำดับ  เมื่อพิณพาทย์หยุดคนพากย์ก็จะเริ่มพากย์  ไหว้พระ  ไหว้ครู  และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า  เรียกว่าพากย์สามตระดังนี้
                ข้าไหว้พระเสร็จเรืองฤทธา               ทศรถมหา
เป็นเจ้าสำหรับพระธรณี
                ไหว้บาทวรนาถจักรี                            ในพื้นปัถพี
ผู้ใดจะเปรียบปานปูน
                ชาวพ่อไพร่ฟ้านาขุน                          เล็งแลใครจะปูน
ทุกท้าวพระยาย่อมรักษา                                   
                มีเมียคนหนึ่งเล่า                                 เมื่อจะขึ้นเฝ้าย่อมเล่าลา
เลื่องลือแต่ก่อนมา                                               เสร็จแล้วจะไหว้ครูเรียน
                ครูข้าบ่ายหน้าเข้าจับเอาบังเหียน     แต่แล้วคงกะเรียน
ก็จับระบำอยู่เป็นกง
                อุ้มครกยกสากวางลง                          เท้าถีบศรก่ง
ปากก็คาบเอาถ่านเพลิงแดง
                เยื้องเท้าเธอเหยียบทาบ                      ปากก็คาบเอาโคมแวง
มีดตรีกระบี่แทง                                                   พระแผลงเอาไส้ออกเรี่ยราย
                มัดใจเท้าจะแผลงให้ล้มตาย              อาเพศกลับกลาย
ก็กลายเป็นพลของท้าวไท

ยกบุญยอคุณพระสิไสย                      พิณพาทย์ปางไฉน
เสร็จแล้วจะไหว้ท้าวลา
                ท้าวเธอยกหัตถ์ขึ้นวันทา                    จึงจะเริ่มให้หา
เอาหนังพระโคมาดัดแปลง
                จำหลักรูปพระรามา                            นางสีดาเข้าแอบแฝง
พระลักขมณ์ผู้ทรงแรง                                       จะเริ่มเล่นให้อุ่นวัน

เบื้องซ้ายข้าจะไหว้ทศกรรฐ์             เบื้องขวาอภิวันท์
                สมเด็จพระรามจักรี
               (คนพากย์หยุด  พิณพาทย์ทำเพลงเชิด  คนพากย์เริ่มพากย์ต่อไป  ดังนี้)
                                โอฤาษีสิทธิฤทธิเดโชไชย เดชพระเลิศไกล
                ประสิทธิ์พรมงคล
                                ศรีศรีสวัสดิอำพล                                สุขเกษมสถาผล
                ขอเกิดสวัสดีมีไชย
                                ข้าไหว้คุณพระพุทธสมสมัย             โปรดสัตว์อสงไขย
                ให้ลุถึงหัวงนฤพาน
                                ข้าไหว้พระอนิรุทธเริ่มการ               โป่งป่าท่าธาร
                ทุกห้วยละเมาะเซาะเขา
                                ข้าไหว้เทพอยู่ในน้ำ                            ทุกเถื่อนถ้ำแลลำเนา
                ไหว้ครูประสิทธิ์เรา                                             ครูผู้เฒ่าสถิตเสถียร
                                ข้าจะขอเล่าเรื่องรามเกียรติ์                สอนวาดฉลาดเขียน
                สอนเรียนฉลุฉลักเฉลา
                                พากย์พอส่งเสียงให้ล้ำเลิศ ทั้งคนเชิดให้เพริศเพรา
                เล่นล้วนแต่ชาวเรา                                              ให้สรรเสริญเยินยอ
                                ตัดไม้มาสี่ลำ                                         ปักทำขึ้นเป็นจอ
                สี่มุมแดงยอ                                                          กลางก็คาดด้วยผ้าขาว
                                วาดรูปพระอิศวรรายดาว                    เทียมรถบนกลางหาว
                อาทิตย์ก็เลื่อนอยู่เห็นแสง                                 
                                ลงการากษสสำแดง                             อยุธยากล้าแข็ง
                จะเล่นให้ท่านทั้งหลายดู
                                ไชยศรีโขลนทวารเบิกบานประตู     ฆ้องกลองตะโพนครู
                ดูเล่นให้สุขสำราญ
                                หนังเราใช่ชั่วช้าสามานย์                  เล่นมาแต่ก่อนกาล
                บ่ห่อนจะมีใครไยไพ
                                ยอกันสารพัด                                        อุบาทว์เสนียดแลจัยไร
                ไว้แก่ผู้ไยไพ                                                         ติหนังที่ดีว่าบมิงาม
                                ข้าขอคุณพระลักษณ์พระราม            เทพเจ้าผู้ทรงนาม
สถิตอยูทั่วทุกตัวหนัง
(คนพากย์หยุดพากย์  พิณพาทย์ทำเพลงเชิด  คนพากย์เริ่มพากย์ต่อ)
                                สำเร็จสนทนานนท์สำแดง                เขียนแล้วดัดแปลง
                เป็นเกียรติยศพระรามา
                                เอาหนังพระโคมาจำหลัก                  ให้เห็นประจักษ์อยู่กับตา
                เชิญท่านทั้งหลายมา                                           ชมแต่รูปเงาแทน
                                งามเกลี้ยงเพียงจงกลหัวแหวน         ท่านผู้เฒ่าท่านกล่าวแทน
                ว่าหนังนี้เกิดสถาพร
                                อุปเท่ห์ท่านบอกให้                             ครูผู้ใหญ่ย่อมสั่งสอน
                ขอเชิญพระภูธร                                                  อย่าให้พ่ายแพ้อดสู
                                ที่ใครแพ้ก็ว่าแพ้                                   อย่าท้อแท้ทำอ่อนหู
                ใครชนะเอาเป็นครู                                             พาท่านผู้รู้มาให้หนัง
                                เร่งเร็วเถิดนายไต้                                 เอาเพลิงใส่เข้าหนหลัง
                ส่องแสงอย่าให้บัง                                              จะเล่นให้ท่านทั้งหลายดู
                จบบทพากย์นี้แล้ว  คนเชิดก็เชิดรูปหนังกลับเข้าโรง  แล้วก็ดำเนินการแสดงเป็นเรื่องรามเกียรติ์ต่อไป
                (สมุทรโฆษ ไหว้ครูเล่นหนัง)
                                “ไหว้เทพดาอา-                                  รักษ์ทั่วทิศาดร
                ขอสวัสดิขอพร                                                     ลุแก่ใจดั่งใจหวัง
                                ทนายผู้คอยความ                 เร่งตามไต้ส่องเบื้องหลัง
                จงเรืองจำรัสทัง                                                    ทิศาภาคทุกภาย
                                จงแจ้งจำหลักภาพ                               อันยงยิ่งด้วยลวดลาย
                ให้เห็นแก่ทั้งหลาย                                              ทวยจะดูจงดูดี”(๗)

จบจากบทพากย์และทบไหว้ครูหนังในสมุทรโฆษที่นำมาเทียบกันนี้  ย่อมแสดงให้เห็นเค้าว่าหนังตะลุงกับหนังใหญ่มีความสัมพันธ์กัน  แต่อันไหนจะเกิดก่อนนั้น  (ไม่หมายถึงชื่อที่เรียก)  ผู้เขียนยังไม่อาจจะสรุปลงไปได้


ที่มา : หนังตะลุง  :  อัจฉริยะลักษณ์การละเล่นแห่งเมืองใต้ 2544,2
มีบางท่านเชื่อว่าหนังตะลุงมาจากชวา  ผ่านขึ้นมาทางมาเลเซีย  ปักหลักลงที่ยะโฮร์  มีตานุ้ย 
ตาหนักทอง  นางทองช้างไปได้มาจากที่นั่น  แล้วเอามาแพร่หลายหัดคนไทยให้รู้จักเล่นหนังคำตะลุง  มาจากคำว่า  หลักตะลุง  หรือหลักหลุง  หมายถึงหลักล่ามช้าง  ผู้มีความเชื่อตามแนวนี้มีรวมทั่งบรรดานายโรงหนังตะลุงด้วย  และปรากฏในบทไหว้ครูหนังตะลุงมากแห่ง  เช่น
                “ไหว้ครูหนังครั้งกระโน้นคนโบราณ                     บุรพาจารย์ของหนังครั้งตะลุง
ตะลุงหลายถึงหลักปักล่ามช้าง                                            โบราณอ้างเรียกว่าตะลุงหลุง
ที่ช้างพักหลักตั้งหนังตะลุง                                                   แรกคราวกรุงศรีวิชัยเมืองนคร
ราชธานีนครศรีธรรมราช                                                      ประวัติศาสตร์แห่งธานีมีนุสรณ์
ประเทศไทยปักษ์ใต้ฝ่ายนคร                                                สมัยก่อนขึ้นยะโฮร์  แรกโบราณ
ทางการไทยไปยะโฮร์ต้องขี่ช้าง                                           การเดินทางเป็นกระบวนล้วนทหาร
ถึงที่นั้นต้องรับเป็นทางการ                                                   ต้องมีงานสนุกทุกครั้งไป
เห็นหนังแขกขับขานการละเล่น                                            จำเชิงเช่นชอบจิตติดเลื่อมใส
ตาหนังทองก้อนทองกองช้างไทย                                        ความสนใจลองเล่นเป็นพิธี
เริ่มแรกเล่นเป็นตะลุงช้าง                                                     จะต้องอ้างเอาหลักเป็นสักขี
คำไหว้ครูผู้เฒ่าเข้าพิธี                                                        -ผ้าขาวสี่มุมตึงขึงจอบัง
ใช้ไม้ไผ่สี่ลำทำเป็นจอ                                                       -ขึงสี่มุมห้อมห่อเรียกจอหนัง
ข้างภายในห้อยตะเกียงเหวี่ยงระวัง                                      แล้วใช้หนังโคทำจำลองคน”(๘)
(สุทธิวงศ์  พงศ์ไพบูลย์. 2527, 22-27)
.......................................................

(๑)  ธินิต  อยู่โพธิ์  โขน  2500 หน้า  5
(๒)  ภิญโญ  จิตต์ธรรม  เที่ยวสงขลา  2506  หน้า  258
(๓)  คำภาพยนตร์มีปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  แต่ไม่หมายถึงภาพยนตร์อย่างปัจจุบัน  หมายถึงหุ่นกลไกทางไสยศาสตร์  เช่นว่า  ใต้ดินมีภาพยนตร์ผัดอยู่จะเอาขึ้นมามิได้  จึงพญาก็เป็นทุกประหรมนักหนา  จึงพญาก็ให้อำมาตย์  เอาทองเท่าลูกฟักนั้นแขวนคอม้ากล่าวว่าผู้ใดรู้แก้ภาพยนตร์ไสให้ทองแก่ผู้นั้น  จึงอำมาตย์กระทำตามพญาสั่งไส

(๔) ดำรงราชานุภาพ  กรมพระยา  ตำนานละครอิเหนา  เชิงอรรถ  หน้า  99  ในรายการวันชุมนุมหนังตะลุง  วันที่  26  เมษายน  2516

(๕) ดำรงราชานุภาพ  กรมพระยา  ตำนานละครอิเหนา  เชิงอรรถ  หน้า  99  ในรายการวันชุุมนุมหนังตะลุง  วันที่  26  เมษายน  2516

 (๖) มงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้  ร.ศ.  128  หน้า  9

(๗)  สมุทรโฆษคำฉันท์องค์การค้าคุรุสภา2505  หน้า 89

(๘)  บทอื่น ๆ  เป็นครูหนักทองกับครูหนุ่ย  หรือหนุ้ย


ที่มา : หนังตะลุง  : อัจฉริยะลักษณ์การละเล่นแห่งเมืองใต้ 2544,11
หนังตะลุง เป็นศิลปะการละเล่นพื้นเมืองชนิดหนึ่งในภาคใต้ ไม่มีประวัติความเป็นมาที่แน่นอน เป็นศิลปะการแสดงที่มีทั้งบทพากษ์ และบทเจรจา พบได้บริเวณที่ต่างๆ เช่น อียิปต์ จีน อินเดีย ตุรกี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
   หนังตะลุงไทยมี 2 แบบ คือ หนังใหญ่ และ หนังตะลุง วายังเซียม วายังยาวอ ( ซึ่งทั้ง 3 ชนิดนี้พบในภาคใต้ของไทย และบางส่วนของภาคกลางในอดีต ) นิยมกันอย่างกว้างขวางในภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะชายฝั่งตะวันออก ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง  ส่วนวายังเซียม และวายังยาวอ มีในบริเวณที่มีคนไทยมุสลิมโดยเฉพาะ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส

     ในภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช  สงขลา ตรัง พัทลุง และชุมพร จะมีการแสดงหนังตะลุงค่อนข้างบ่อย ด้วยเป็นสิ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมีการจัดงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด ก็มักจะมีหนังตะลุงมาแสดงอยู่ด้วยเสมอ งานหรือกิจกรรมใดๆที่ไม่มีหนังตะลุงแสดง มักจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านว่า งานนั้นจืด กร่อย ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นอนาคตของหนังตะลุงได้อย่างแจ่มชัดว่า จะยังคงได้รับความนิยมชมชอบจากชาวบ้านอยู่อย่างกว้างขวางไม่แพ้ยุคสมัยที่ผ่านมา โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแสดง ที่แตกต่างกันตามพื้นที่ เท่าที่ทราบ ในปัจจุบันมี 3 รูปแบบ คือ
     1. หนังตะลุงตะวันออก เป็นรูปแบบการแสดงของกลุ่มชนแถบทะเลฝั่งตะวันออก ตั้งแต่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง และสงขลา
     2. หนังตะลุงตะวันตก เป็นภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยที่สำคัญอย่างหนึ่งของกลุ่มชนแถบฝั่งอันดามัน เช่น จังหวัดพังงา ภูเก็ต ( มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างกัน ทั้งในการขับร้องบท การเจรจา รูปหนังและธรรมเนียมการเล่น ส่วนองค์ประกอบในการแสดงอื่นๆ มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน )

     3. หนังตะลุงมลายู หรือวายังกูลิต ชาวไทยมุสลิมเรียกว่า วอแยกูเละ หรือวายังกูเละ เป็นศิลปะการเล่นเงาที่นิยมแสดงกันมาช้านาน ในพื้นที่บริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส